นอกจากใช้สายสัญญาณเป็นสื่อกลางนำสัญญาณแล้ว อากาศก็เป็นสื่อนำสัญญาณได้เช่นกัน ซึ่งระบบที่ใช้อากาศเป็นสื่อนำสัญญาณจะเรียกว่าเครือข่ายแบบไร้สาย (Wireless)
ก่อนที่จะศึกษารายละเอียดของระบบเครือข่ายแบบไร้สาย ผู้อ่านควรทำความรู้จักกับแถบความถี่ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Spectrum) ซึ่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
เป็นสัญญาณส่งข้อมูลในทุกๆการสื่อสารที่กล่าวมาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น สาย UTP สายโคแอ็กซ์ สายไฟเบอร์ หรือแม้กระทั่งการรับส่งสัญญาณโทรทัศน์ วิทยุ โทรศัพท์มือถือ
ก็ยังใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าทั้งสิ้น ข้อแตกต่างระหว่างการส่งสัญญาณก็ยังใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าทั้งสิ้น ข้อแตกต่างระหว่างการส่งสัญญาณข้างต้นคือ สื่อกลางที่ใช้ ความถี่ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
และเทคนิคในการส่งสัญญาณไปบนสื่อต่างๆเหล่านั้น
สอบถามข้อมูล สั่งซื้อ ขอใบเสนอราคา
HOT LINE : 081-700-4715, 02-888-3507-8, 081-721-5542
กล้องไร้สาย
เทคโนโลยีการสื่อสารไร้สาย
เทคโนโลยีการสื่อสารแบ่งออกเป็น 4 ประเภท โดยแต่ละประเภทจะใช้ช่วงความถี่ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ต่างกัน ดังนี้
- ช่วงครอบคลื่นวิทยุ (Spread Spectrum Radio)
- ช่วงความถี่แคบหรือช่วงความถี่เดี่ยวของคลื่นวิทยุ (Narrowband or single band radio)
- อินฟราเรด (Infrared)
- เลเซอร์ (Laser)
สองวิธีแรกจะถูกควบคุมการใช้ความถี่โดย FCC (Federal Communications Communications Commission) ได้ควบคุมการแผ่กระจายทึบแสงด้วยการกำหนดกำลังในการส่งสัญญาณ
ส่วนอีกสองวิธีหลังคือ อินฟราเรดและเลเซอร์ สัญญาณจะถูกกำจัดโดยคุณสมบัติของคลื่นเอง กล่าวคือ มันไม่สามารถเดินทางผ่านวัตถุทึบแสงและยังควบคุมโดย FCC เช่นกัน ตัวอย่างเช่น
คลื่นวิทยุสามารถเดินทางผ่านวัตถุที่หนา เช่น ผนังตึก ส่วนแสง เช่น อินฟราเรด หรือเลเซอร์แม้กระทั่งกระดาษบางๆ ยังไม่สามารถเดินทางผ่านได้
สอบถามข้อมูล สั่งซื้อ ขอใบเสนอราคา
HOT LINE : 081-700-4715, 02-888-3507-8, 081-721-5542
Spread Spectrum Radio Frequency
องค์กร FCC ได้กำหนดให้ใช้ช่วงความถี่ 902-928 MHz และ 2.4-2.4835 GHz สำหรับใช้งานในอุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์ และเครื่องกล ดังนั้นช่วงความถี่นี้
จึงถูกเรียกว่าช่องสัญญาณ ISM (Industrial, Science, Medical) ซึ่งช่วงความถี่นี้จะถูกกำหนดให้ใช้ได้กับการสื่อสารแบบช่วงความถี่วิทยุกว้าง (Spread Spectrum Radio)
นอกจากนี้ FCC ยังกำหนดให้ใช้ช่วงความถี่ 5.725-5.850 GHZ ได้เช่นกัน การใช้งานในช่วงความถี่นี้ไม่จำเป็นต้องขออนุญาต นอกจากข้อกำหนดเกี่ยวกับอุปกรณ์ไฟฟ้า
และอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้กับช่วงความถี่นี้ FCC ไม่ได้กำหนดว่าใครที่มีสิทธิ์ใช้ได้ ไม่เหมือนกับช่วงความถี่อื่นๆ การใช้ช่วงความถี่อาจต้องขออนุญาต เช่น สถานีวิทยุ เป็นต้น
เทคนิคที่ใช้กับการสื่อสารที่ใช้ช่วงความถี่กว้างนี้มีอยู่ 2 ประเภทหลักคือ
1. Frequency Hopping
ฟรีเควนซีฮ็อปปิ้ง หรือ FHSS (Frequency Hopping, Spread Spectrum) เป็นเทคนิคที่ใช้ได้กับการสื่อสารด้วยคลื่นวิทยุแถบกว้างเท่านั้น
เนื่องจากการสื่อสารแบบนี้จะใช้ช่วงความถี่ที่ไม่มีการควบคุมการใช้งาน ฟรีเควนซีฮ็อปปิ้งเป็นเทคนิคที่อยู่ระหว่างเบสแบนด์ (Baseband) และบรอดแบนด์ (Broadband)
การสื่อสารแบบเบแบนด์จะใช้แบนด์วิธที่มีทั้งหมดในการส่งสัญญาณเพียงช่องเดียว หรือสัญญาณเดียวกันจะถูกส่งไปทุกความถี่ในช่องสัญญาณนั้น
ตัวอย่างของการสื่อสารแบบเบสแบนด์ เช่น อีเธอร์เน็ต เป็นต้น ส่วนการสื่อสารแบบบรอดแบนด์จะแบ่งแบนด์วิธที่มีเป็นช่องสัญญาณย่อยๆหลายช่องสัญญาณ ซึ่งแต่ละช่องสัญญาณจะใช้ส่งสัญญาณที่ต่างกัน
Direct Sequence
ไดเร็คซีเควนซ์ (Direct Sequence) จะทำงานคล้ายๆกับฟรีเควนซีฮ็อปปิ้งคือ จะแบ่งแบนด์วิธออกเป็นช่องสัญญาณย่อยๆและจะเปลี่ยนช่องสัญญาณในการรับส่งไปเรื่อยๆ
แต่การเปลี่ยนช่องสัญญาณจะเป็นไปตามลำดับที่กำหนดไว้ ในขณะที่ฟรีเควนซีฮ็อปปิ้งจะลำดับเป็นสุ่ม ดังนั้นความปลอดภัยของข้อมูลก็จะลดลง เทคนิคนี้เรียกว่า “DSSS (Direct Sequence Spread Spectrum)
สอบถามข้อมูล สั่งซื้อ ขอใบเสนอราคา
HOT LINE : 081-700-4715, 02-888-3507-8, 081-721-5542
2. Single-Band Radio Frequency
ตรงกันข้ามกับการสื่อสารแบบความถี่กว้าง (Spread Spectrum) คือการสื่อสารแบบช่องสัญญาณเดียว (Single-Band) ซึ่งจะใช้ความถี่ในช่วงไมโครเวฟ ดังที่ชื่อบอก
ซิงเกิลแบนด์จะใช้แค่ช่องสัญญาณเดียวในการรับส่งข้อมูล แถบคลื่นไมโครเวฟจะมีความถี่สูงกว่าแถบคลื่นวิทยุแต่จะต่ำกว่าแสง ดังนั้นไมโครเวฟที่มีความถี่ต่ำสุดจะมีคุณสมบัติคล้ายกับคลื่นวิทยุ
ในขณะที่ไมโครเวฟที่มีความถี่สูงจะมีคุณสมบัติคล้ายกับแสง
การใช้งานซิงเกิลแบนด์บิดนี้ส่วนใหญ่จะใช้กับลิงค์ที่เป็นแบ็คโบน หรือการเชื่อมต่อระหว่างฮับกับฮับ กำลังส่งที่ใช้อยู่ที่ประมาณ 25 มิลลิวัตต์ ซึ่งถือว่าน้อยมากจนไม่อาจเป็นอันตรายกับมนุษย์ได้
แต่กำลังขนาดนี้สามารถส่งสัญญาณได้ไกลแค่ 140 ฟุต ในสภาพที่อากาศเปิด แต่ถ้ามีสิ่งกีดขวางก็จะส่งได้แค่ 40 ฟุต ส่วนแบนด์วิธของลิงค์ก็อยู่ที่ประมาณ 15 Mbps
Infrared
อินฟราเรดเป็นแสงที่มีความถี่ระหว่างไมโครเวฟและแสงมองเห็นอินฟราเรดถือว่าเป็นแสงชนิดหนึ่ง ดังนั้นมันไม่สามารถเดินทางผ่านวัตถุทึบแสงได้ แต่มีคุณสมบัติพิเศษคือ
สามารถสะท้อนกลับวัตถุได้ การใช้อินนฟราเรดจะมีอยู่ทั่วๆไปเช่น รีโมทคอนโทรลของทีวี วีดีโอ สเตอริโอ เป็นต้น แต่การใช้งานอินฟราเรดในเครือข่ายคอมพิวเตอร์นั้นยังไม่เป็นที่นิยมมกนัก เนื่องจากข้อจำกัดของแสงินฟราเรดเอง
สอบถามข้อมูล สั่งซื้อ ขอใบเสนอราคา
HOT LINE : 081-700-4715, 02-888-3507-8, 081-721-5542
Laser
สภาพแวดล้อมที่ใช้เลเซอร์นั้น เปรียบได้กับเครือข่ายสายไฟเบอร์ที่ไม่ใช้สายไฟเบอร์อย่างไรก็ตาม LAN ส่วนใหญ่จะใช้ LED (Light Emitting Diode) เนื่องจากเลเซอร์เป็นแสงที่มองเห็น
ดังนั้นอุปกรณ์นี้จึงเป็นแบบไลน์ออฟไซต์ (Line-of-Sight Device) ซึ่งสัญญาณอาจถูกลดทอนได้ง่าย เช่น หมอก ควัน หรือฝน เป็นต้น ข้อกังวลอีกอย่างหนึ่งเกี่ยวกับการใช้อุปกรณ์ประเภทนี้คือ
แสงเลเซอร์อาจทำอันตรายให้กับแก้วตาหรือระบบประสาทของมนุษย์ได้ ดังนั้นการติดตั้งกล้องวงจรปิดควรให้ความระวังเดี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย
Related link : ราคาติดตั้งรั้วไฟฟ้า ราคาติดตั้งสัญญาณกันขโมย
สอบถามข้อมูล สั่งซื้อ ขอใบเสนอราคา
HOT LINE : 081-700-4715, 02-888-3507-8, 081-721-5542