สายสัญญาณกล้องวงจรปิด สื่อเพื่อการนำข้อมูลจากแหล่งข้อมูลต้นทางไปยังแหล่งข้อมูลปลายทาง หากสื่อปราศจากสื่อที่สามารถนำสัญญาณข้อมูลไปสู่ปลายทางแล้ว องค์ประกอบอื่น ๆ ของระบบการสื่อสารจะมีอย่างสมบูรณ์เพียงใดก็ตามการสื่อสารก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้
สื่อที่ใช้ในการนำสัญญาณข้อมูลอาจเป็นไฟฟ้า คลื่นวิทยุ เสียง หรือเสีย ยังสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลัก คือ สื่อนำทิศทาง และสื่อที่ไม่สามารถนำทิศทางได้ ในปัจจุบันเรียกว่า สื่อไร้สาย มีการใช้เสาอากาศในการกระจายสัญญาณ
สอบถามข้อมูล สั่งซื้อ ขอใบเสนอราคา
HOT LINE : 081-700-4715, 02-888-3507-8, 081-721-5542
สายสัญญาณกล้องวงจรปิด
คุณสมบัติของสื่อประเภทต่างๆ มีความแตกต่างกันในด้านต่าง ๆ ของสื่อที่มีการพัฒนาเพื่อการใช้งานในปัจจุบัน รวมถึงข้อจำกัดในการใช้งานของสื่อต่างๆ เพื่อให้เกิดความตระหนักในการคัดเลือกสื่อในการใช้งานจริงได้ ดังนี้
สื่อนำทิศทาง
ในปัจจุบันการใช้สายเคเบิลมีหลากหลายชนิด และมีคุณสมบัติในการสื่อสารที่แตกต่างกัน การเลือกใช้สายเคเบิลแต่ละประเภทขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย สายเคเบิลสามารถสร้างขึ้นจากอุปกรณ์ที่แตกต่างกัน คือสายเคเบิลร่วมแกน สายเคเบิลที่เป็นสายตีเกลียวคู่ หรือวิทยาการเส้นใยนำแสง
สายเคเบิลร่วมแกนเป็นสายทำจากทองแดงมีความสามารถในการสื่อสารดีกว่าสายเคเบิลที่เป็นสายตีเกลียวคู่ สามารถป้องกันการแทรกสอดของคลื่นไฟฟ้าและสามารถส่งได้เร็วกว่า แต่ราคาของสายมีราคาสูงกว่า และสื่อเพื่อการสื่อสารข้อมูล
และสายตีเกลียวคู่แบบป้องกันสัญญาณรบกวนหรือเรียกว่า สายเอสทีพีจะสามารถสื่อสารได้สายตีเกลียวคู่แบบไม่ป้องกันสัญญาณรบกวน หรือเรียกว่า สายยูทีพี อาจได้รับการแทรกสอดจากคลื่นไฟฟ้าและมีระยะทางการสื่อสารที่จำกัดกว่าการใช้สายเคเบิลที่ทำจากทองแดง
สายเคเบิลที่ทำจากวิทยาการเส้นใยนำแสงจะเป็นสายเคเบิลที่มีความเร็วสูงสุดและไม่มีผลกระทบที่เกิดจากคลื่นไฟฟ้า กล้องวงจรปิดแต่ราคาของสายและการติดตั้งจะสูงกว่าสายสื่อสาร 2 ประเภท ดังนี้
สายตีเกลียวคู่
การปล่อยกระแสไฟฟ้าเข้าสู่ลวดทองแดง 2 เส้นที่ติดกันบนลวดแต่ละเส้นส่งผลให้เกิดกำลังของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าส่งออกรอบด้านของลวดทั้ง 2 เส้น คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่เกิดขึ้นเข้าไปแทรกสอดให้สัญญาณไฟฟ้าที่วิ่งอยู่บนลวด 2 เส้น
เกิดความเสียหายได้ การแทรกสอดที่เกิดขึ้นเรียกว่า การแทรกสัญญาณข้ามหรือครอสทอล์ก เป็นกระบวนการที่มีชื่อทางเทคนิคว่า การรบกวนทางแม่เหล็กไฟฟ้า หรือ อีเอ็มไอ และการรบกวนคลื่นความถี่ เรียกว่า อาร์เอฟไอ
วิธีการแก้ไขการรบกวนหรือการแทรกสอดที่เกิดจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่กระจายออกรอบสายไปสู่สายนำสัญญาณอีกสายหนึ่ง คือ การนำสาย 2 สายมาไขว้หรือบิดกันเป็นเกลียวด้วยวิธีนี้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจะมีการหักล้างไปในระดับหนึ่งและไม่สามารถส่งผลกระทบต่อสัญญาณข้อมูลที่ส่งไปบนสายสื่อสารได้
ประเภทของสายตีเกลียวคู่สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ สายตีเกลียวคู่แบบป้องกันสัญญาณรบกวน และแบบไม่ป้องกันสัญญาณรบกวน การเชื่อมต่อในปัจจุบันนิยมใช้สายตีเกลียวคู่แบบไม่ป้องกันสัญญาณรบกวน
เพื่อเชื่อมต่อเครือข่ายภายในอาคารหรือภายในห้องหนึ่งๆ การเชื่อมต่อในระบบเครือข่ายจะใช้หัวเชื่อมต่อแบบ RJ-45 ลักษณะเดียวกับหัวเชื่อมต่อสายโทรศัพท์แต่มีขนาดใหญ่กว่า
สอบถามข้อมูล สั่งซื้อ ขอใบเสนอราคา
HOT LINE : 081-700-4715, 02-888-3507-8, 081-721-5542
สายตีเกลียวคู่แบบไม่ป้องกันสัญญาณรบกวน
นิยมเรียกว่า สายยูทีพี ใช้ในการสื่อสารด้วยโทรศัพท์เป็นครั้งแรก การสื่อสารด้วยสายชนิดนี้กระจายไปทั่วประเทศ ลักษณะของสายชนิดนี้จะไม่มีการหุ้มห่อเหมือนสายตีเกลียวคู่แบบป้องกันสัญญาณรบกวน
ทำให้สายมีความยืดหยุ่นสูงและมีอายุการใช้งานไม่ยาวนาน ระบบเครือข่ายที่นิยมใช้สายตีเกลียวคู่แบบไม่ป้องกันสัญญาณรบกวนจะเป็นเครือข่ายที่มีทอพอโลยีแบบบัส หรือมีสถาปัตยกรรมแบบอีเทอร์เน็ต
สายเคเบิลร่วมแกน
มักนิยมเรียกว่าสายโคแอกซ์เป็นสายที่มีคุณภาพในการสื่อสารสูงกว่าสายตีเกลียวคู่ จะมีการหุ้มห่อของฉนวนเพื่อกันการรบกวนทางแม่เหล็กไฟฟ้าที่เกิดขึ้นในระดับหนึ่ง การสื่อสารด้วยสายโคแอกซ์จะเป็นการสื่อสารด้วยสัญญาณที่มีช่วงความถี่สูง
หรือเรียกว่า สัญญาณแถบความถี่กว้าง ระยะการสื่อสารได้ไกลกว่าการสื่อสารด้วยสายยูทีพี แต่ราคาการติดตั้งจะสูงกว่าการติดตั้งด้วยสายยูทีพี
สายโคแอกซ์นิยมใช้ในการสื่อสารบนเครือข่ายโทรศัพท์แบบแอนะล็อกซึ่งสัญญาณเสียงสามารถส่งได้มากถึง 10,000 สัญญาณ ต่อมาระบบโทรศัพท์เปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัล
การเชื่อมต่อสายโคแอกซ์สู่แลนจะใช้หัวเชื่อมต่อหลายประเภท แต่ประเภทหนึ่งที่รู้จักกันเป็นอย่างดี คือ หัวบีเอ็นซี การติดตั้งสายโคแอกซ์ในระบบโทรศัพท์และโทรทัศน์ตามสายยังใช้ในการติดตั้งระบบข่ายงานบริเวณแฉพาะที่
แบบอีเทอร์เน็ตอีกด้วยภายใต้สถาปัตยกรรมทินอีเทอร์เน็ตมีความสามารถในการส่งข้อมูลด้วยความเร็ว ระยะการเชื่อมต่อ 185 เมตร และสถาปัตยกรรมทิคอีเทอร์เน็ตมีความสามารถในการส่งข้อมูลด้วยความเร็วในระยะ 5,000 เมตร
สอบถามข้อมูล สั่งซื้อ ขอใบเสนอราคา
HOT LINE : 081-700-4715, 02-888-3507-8, 081-721-5542
วิทยาการเส้นใยนำเสง
ใยแก้วหรือสายเคเบิลทำด้วยพลาสติก ช่วยการกระจายคลื่นเสงเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีความสามารถในการนำข้อมูลด้วยแสงภายใต้ความเร็วข้อมูลสูง การเดินทางของแสงอาศัยการสะท้อนมุมตกกระทบ
หากมุมตกกระทบมากกว่ามุมวิกฤตแล้ว แสงสามารถเคลื่อนที่ไปข้างหน้าในทิศทางที่เชื่อมต่อได้ ลักษณะของการส่งเรียกว่าโหมดในการส่งข้อมูลของเส้นใยนำแสงสามารถแบ่งได้เป็น 2 โหมดหลักคือ
- การส่งข้อมูลแบบหลายโหมด หรือการส่งข้อมูลแบบมัลติโหมด ในการส่งสามารถแยกออกได้เป็น 2 ลักษณะ คือ การส่งแบบมัลติโหมดสเต็บ-อินเด็กซ์ เป็นการส่งข้อมูลบนสื่อที่มีความหนาแน่นเท่ากันตลอดจากแกนสื่อถึงขอบ
ความหนาแน่นจะมีการเปลี่ยนแปลงทันทีที่แสงกระทบขอบ ส่งผลให้เกิดการบิดเบือนของคลื่นแสงได้ และการส่งแบบมัลติโหมดเกรด-อินเด็กซ์ เป็นการส่งข้อมูลที่สื่อมีความหนาแน่นที่แกนมากกว่าความหนาแน่นที่ขอบสื่อ
เมื่อแสงกระทบขอบแล้วความหนาแน่นที่เปลี่ยนแปลงไปจะน้อยกว่าที่ส่งแบบมัลติโหมดสเต็บ-อินเด็กซ์ ส่งผลให้การบิดเบือนของคลื่นน้อยกว่าและมีความถูกต้องมากกว่าการส่งแบบมัลติโหมดสเต็บ-อินเด็กซ์ - การส่งข้อมูลแบบโหมดเดียว เป็นการส่งข้อมูลที่มีการบีบอัดช่วงคลื่นให้เป็นลำแสงเดียวแม้ว่าจะมีหลายช่วงคลื่นความถี่แสงก็ตาม การบิดเบือนของคลื่นแสงจะไม่เกิดขึ้นเมื่อแสงเดินทางไปถึงปลายทางพร้อมกันเรียบร้อยแล้ว
เส้นใยนำแสงที่ส่งข้อมูลแบบมัลติโหมดเรียกว่าเส้นใยชนิดหลายโหมดหรือเอ็มเอ็มเอฟ และเส้นใยนำแสงที่ส่งข้อมูลแบบโหมดเดียวเรียกว่าเส้นใยชนิดโหมดเดียวหรือเรียกว่าเอสเอ็มเอฟ
การส่งข้อมูลด้วยเส้นใยนำแสงเป็นการส่งข้อมูลที่มีแบนด์วิดท์สูงกว่าการส่งด้วยสื่อประเภทอื่นทำให้สามารถส่งข้อมูลได้ปริมาณมาก ๆ ในเวลาเดียวกันด้วยความเร็วในการส่งสูง
การสื่อสารด้วยแสงทำให้สัญญารข้อมูลที่ส่งไม่ถูกรบกวนจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า สามารถส่งได้ในระยะทางไกลหลายกิโลเมตร ประโยชน์ของการใช้สายเคเบิลที่ทำจากแก้วหรือพลาสติกนำแสง คือ ไม่เกิดสนิมทำให้อายุการใช้งานของสายนานกว่าสายประเภทอื่นที่ทำด้วยโลหะ
ข้อจำกัดของการสื่อสารด้วยเส้นใยแก้วนำแสง คือ การติดตั้งและการดูแลยากกว่าการดูแลสายเคเบิลประเภทอื่น ๆ และต้องใช้ค่าใช้จ่ายสูงในการดำเนินการ และหากมีการขาดของสายภายในแล้วจะหาเส้นใยนำแสงที่ขาดและซ่อมแซมได้ยาก และมีค่าใช้จ่ายสูง
การสื่อสารโดยใช้เส้นใยนำแสงจะเป็นการสื่อสารทิศทางเดียว การเดินทางของแสงเกิดจาการใช้มุมตกกระทบจึงไม่สามารถกำหนดทิศทางการเคลื่อนที่ได้แน่นอน
สอบถามข้อมูล สั่งซื้อ ขอใบเสนอราคา
HOT LINE : 081-700-4715, 02-888-3507-8, 081-721-5542
หากต้องการให้การสื่อสารเกิดขึ้น 2 ทิศทางจำเป็นต้องใช้สายเคเบิล 2 เส้น คุณสมบัติของเส้นใยนำแสงมีดังนี้
- ประสิทธิภาพในการสื่อสารด้วยแบนด์วิดท์สูงสามารถส่งข้อมูลได้ครั้งละปริมาณมาก
- มรการสูญเสียสัญญาณหรือการอ่อนแรงของสัญญาณน้อย ขึ้นกับวิธีการเชื่อมต่อสายเคเบิลที่เกิดขึ้น โดยภาพรวมแล้วคุณภาพการส่งสัญญาณคือว่าดีกว่าสายทุกประเภท
- มีความต้านทานต่อคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า การส่งข้อมูลเป็นการส่งด้วยแสงไม่ทำปฏิกิริยาใด ๆ กับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าซึ่งส่งผลต่อสัญญาณข้อมูลจึงไม่เกิดขึ้น
- การส่งข้อมูลมีความเป็นอิสระกันระหว่างเส้นใยนำแสงที่ลากคู่ขนานแตกต่างจากการใช้สานเคเบิลชนิดอื่น ๆ อาจก่อให้เกิดสัญญาณรบกวนได้ ในกรณีไม่มีโอกาสในการเกิดสัญญาณรบกวนใด ๆ จากการสื่อสารคู่ขนานที่เกิดขึ้นในสายเคเบิลทั้งสอง
- สายเคเบิลชนิดนี้มีน้ำหนักเบา
- มีความปลอดภัยในการส่งข้อมูลสูงกว่าการส่งข้อมูลด้วยสายเคเบิลชนิดต่าง ๆ การดักจับสัญญาณข้อมูลระหว่างการสื่อสารบนสายเคเบิลชนิดนี้ทำได้ยากและไม่มีการแผ่คลื่นไฟฟ้าออกโดยรอบเพื่อให้ผู้อื่นดักจับสัญญาณข้อมูลได้
สื่อไร้สาย
การสื่อสารด้วยสายสามารถกำหนดทิศทางการเคลื่อนที่ของสัญญาณได้ตามความต้องการของการส่งข้อมูล การสื่อสารด้วยสายก็มีข้อจำกัดหลายประการ เช่น
- ระยะการเชื่อมต่อที่ไกลหลายร้อยกิโลเมตร การเชื่อมต่อระบบเครือข่ายด้วยสายเคเบิลย่อมไม่สามารถกระทำได้
- ต้องการเปลี่ยในการเชื่อมต่อสูงและมีความเสียหายของสายเคเบิลสูง จุดหักงอไม่สามารถเชื่อมต่อได้ บริเวณการเชื่อมต่อมีมุมอับ บริเวณื่อมต่อเป็นบริเวณกว้างที่มีผู้ใช้งานจำนวนมากและไม่แน่นอนหากเชื่อมต่อด้วยสายเคเบิลจะใช้ค่าใช้จ่ายสูงและไม่สามารถให้บริการได้ครบถ้วน
- จุดเชื่อมต่อเครือข่ายต้องเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา การเชื่อมต่อด้วยสายเคเบิลจะต้องเป็นการเชื่อมต่อที่คงที่ไม่สามารถโยกย้ายสถานที่เชื่อมต่อได้ทันทีที่ต้องการเปลี่ยนแปลงจุดเชื่อมต่อแต่ละครั้งใช้เวลานานและสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย
Related link : รั้วไฟฟ้า สัญญาณกันขโมย
สอบถามข้อมูล สั่งซื้อ ขอใบเสนอราคา