ประกันภัยในประเทศ สำหรับในประเทศไทยกิจการประกันภัยได้เริ่มเกิดขึ้นเมื่อใดไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่าเป็นที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ
เพราะการติดต่อซื้อขายจากต่างประเทศทรงเคยมีรับสั่งว่าควรจะประกันการขนส่งระหว่างเดินทางมาในเรือด้วย การที่มีการกล่าวถึงกิจการประกันภัยขึ้นในสมัยนั้นทำให้ธุรกิจประกันภัย
สอบถามข้อมูล สั่งซื้อ ขอใบเสนอราคา
HOT LINE : 081-700-4715, 02-888-3507-8, 081-721-5542
กล้องวงจรปิดแบบไหนดี
เป็นที่รู้จักกันแพร่หลายในประเทศเพราะได้มีบริษัทต่างชาติเข้ามาดำเนินกิจการรับประกันในลักษณะสาขาและตัวแทนขึ้นในประเทศไทยสมัยต่อ ๆ มา
แต่จะเป็นบริษัทใดเป็นบริษัทแรกนั้นไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด และ ในปี 2515 สำนักงานประกันภัย จึงสังกัดอยู่สำนักงานปลัดกระทรงพาณิชย์ เป็นต้นมา
ธุรกิจประกันภัย
บริษัทประกันภัยที่ได้รับอนุญาตให้ดำเนินกิจการได้ในปี พ.ศ. 2472 มีจำนวน 26 บริษัท ในจำนวนนี้มีบริษัทที่ดำเนินธุรกิจประกันชีวิตเพียง 5 บริษัท เป็นบริษัทจากต่างประเทศทั้งสิ้น
ในระหว่างสงครามได้มีหลายบริษัทหยุดกิจการไป แต่พอสงครามเสร็จสิ้นลงแล้ว ได้มีบริษัทประกันภัยเกิดขึ้นอีกมากมาย ต่อมาปี 2497 บริษัทประกันภัยได้เพิ่มมากขึ้นเป็นบริษัทสาขาจากต่างประเทศ
และบริษัทในประเทศ และระยะเวลาหลังจากที่มีพระราชบัญญัติประกันชีวิตและวินาศภัยออกใช้การควบคุมธุรกิจประกันภัยเป็นไปอย่างเคร่งครัดมากขึ้น
เพื่อให้ธุรกิจมีความมั่นคงทางการเงินและเป็นที่เชื่อถือของประชาชนผู้เอาประกัน จึงมีบริษัทประกันภัยเหลืออยู่ไม่มากที่เป็นบริษัทต่างประเทศเพียง 10 ราย ส่วนที่เหลือนอกนั้นเป็นบริษัทในประเทศ
ธุรกิจประกันชีวิต
ปี 2472 รัฐบาลได้ออกประกาศควบคุมกิจการประกันภัย มีบริษัทที่ได้รับอนุญาตในประเภทประกันชีวิต 5 บริษัท แต่ไม่มีบริษัทของคนไทยเลย
จนกระทั่งเกิดสงครามบริษัททั้ง 5 ได้หยุดประกอบกิจการในประเทศไทย จึงเป็นโอกาสที่คนไทยได้เริ่มก่อตั้งบริษัทประกันชีวิตขึ้นเป็นครั้งแรกมี 2 บริษัท คือ บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด และ
บริษัท ไทยเศรษฐกิจประกันภัย จำกัด และหลังสิ้นสุดสงครามบริษัทต่างประเทศได้กลับมาดำเนินกิจการใหม่ ธุรกิจประกันชีวิตซึ่งดำเนินการอยู่ในขณะนั้นได้แบ่งออกเป็น ประเภทต่าง ๆ ดังนี้
- การประกันชีวิตแบบสามัญ ซึ่งแบ่งออกเป็น
- การประกันจำกัดเวลา
- การประกันตลอดชีพ
- การประกันสะสมทรัพย์
- การประกันเยาวชน
- การประกันชีวิตแบบอุตสาหกรรมแบ่งออกเป็น การประกันสะสมทรัพย์
- การประกันชีวิตหมู่ แบ่งออกเป็น
- การประกันจำกัดเวลา
- การประกันสะสมทรัพย์
- การประกันเงินได้ประจำ
สอบถามข้อมูล สั่งซื้อ ขอใบเสนอราคา
HOT LINE : 081-700-4715, 02-888-3507-8, 081-721-5542
ธุรกิจประกันวินาศภัย
กำเนิดของกิจการประกันวินาศภัยในประเทศไทย มิได้มีหลักที่แน่ชัดแต่เป็นที่รู้จักในหมู่นักธุรกิจเป็นเวลานานแล้ว และการดำเนินงานด้านวินาศภัยของธุรกิจอาจจะมีอายุมานานพอสมควร
เพราะมีการรวมตัวกันในหมู่นักธุรกิจประกันภัยทั้งจากต่างประเทศ และในประเทศจัดตั้งเป็นสมาคมของตนขึ้นสำหรับบริษัทสาขาต่างประเทศก็จัดตั้งสมาคมในประเทศขึ้นตรงกับสมาคมในต่างประเทศ
ธุรกิจประกันวินาศภัยขณะนั้นแบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ คือ ประกันอัคคีภัย การขนส่ง
ปี 2510 รัฐบาลได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติประกันวินาศภัยมีผลให้ธุรกิจที่มีอยู่ต้องจดทะเบียนใหม่ตามเงื่อนไขของพระราชบัญญัตินี้
การดำเนินธุรกิจได้มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นตามลำดับ เมื่อพิจารณาธุรกิจประกันภัยทั้งหมดโดยส่วนรวมแล้วจะเห็นได้ว่าการดำเนินงานมีอัตราการเจริญเติบโต
ของธุรกิจประกันชีวิตและวินาศภัยจะขยายตัวต่อไปโดยไม่หยุดยั้งตามสภาพทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
ความปลอดภัยเกี่ยวกับเพลิงไหม้ในอาคารสูง
ทั่วโลกได้เกิดเหตุเพลิงไหม้ในอาคารสูงหลาย ๆ ราย ผู้รับประกันอัคคีภัยไม่เพียงแต่ได้ตระหนักถึงขนาดและขอบเขตของภัยซึ่งได้เกิดขึ้นต่ออาคารสูงทั้งยังต้องเผชิญกับมันด้วย
ปัญหายังเกี่ยวโดยตรงกับเจ้าของสถาปนิ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อผู้รับผิดชอบที่จะต้องทำทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่เป็นไปได้ เพื่อป้องกันชีวิตของประชาชนจำนวนนับร้อย ๆ ให้พ้นจากภัยของเพลิงไหม้ในอาคารสูงนี้
ในหลาย ๆ ประเทศยังไม่มีคำจำกัดเกี่ยวกับอาคารสูงว่าความสูงหรือชั้นที่แน่นอน ในการประชุมนานาชาติ ซึ่งได้มีขึ้น ในปี 1971 เรื่องความปลอดภัยเกี่ยวกับเพลิงไหม้ในอาคารสูง
ได้ให้คำจำกัดความไว้ว่า “อาคารสูง” คือ อาคารซึ่งการอพยพผู้คนออกจากอาคารในยามฉุกเฉินไม่อาจกระทำได้ และการดับเพลิงจะต้องทำภายในตัวอาคารเอง เนื่องจากความสูงของอาคารลักษณะพิเศษโดยทั่วไปของอาคารดังกล่าว คือ
- มีความสูงเกินกว่าที่เครื่องมือเครื่องใช้ในการดับเพลิงจะถึงได้
- อยู่ในลักษณะที่อาจเสี่ยงต่ออันตรายได้เป็นอย่างมาก
- ต้องใช้เวลามากเป็นพิเศษในการอพยพผู้คนออกจากอาคาร
สอบถามข้อมูล สั่งซื้อ ขอใบเสนอราคา
HOT LINE : 081-700-4715, 02-888-3507-8, 081-721-5542
การแก้ปัญหาบางประการที่เกิดขึ้นต่ออาคารสูง
การออกแบบของอาคารสูง ควรจะมีลักษณะสำคัญ ๆ อย่างอื่นด้วยก็ตาม ลักษณะที่จะกล่าวต่อไปนี้ก็อยู่ในข้อที่ถือว่าสำคัญที่สุด คือ
- การติดตั้งเครื่องพรมน้ำดับเพลิงอัตโนมัติ ที่ได้รับการทดลองแล้วว่าเป็นเครื่องมือดับเพลิงที่มีประสิทธิภาพที่สุดสำหรับดับเพลิงอาคารสูงไม่ควรที่จะปราศจากการติดตั้งเครื่องพดตั้รมน้ำดับเพลิงอัตโนมัตินี้
- แบ่งขั้นตอนในอาคารเพื่อลดการลุกลามของอัคคีภัย
- มีบันได ช่องลิฟท์ ท่อส่งเอกสาร รางขยะมูลฝอย ฯลฯ ได้รับการปิดล้อมโดยวัสดุทนไฟทั้งหมด
- จัดให้มีเครื่องสกัดเพลิง ที่จะปฏิบัติการได้โดยอัตโนมัติ ในที่ซึ่งท่อปรับอากาศผ่าน ทั้งกำแพงหรือพื้นที่ทนไฟ
- จัดให้มีเครื่องปั้มหรือเครื่ออัดอากาศ ณ บันไดและทางเดินภายในตัวอาคาร เพื่อที่จะขับไล่ควันและก๊าซร้อน
- จัดให้มีเครื่องมือในการควบคุมและเครื่องกำเนิดไฟต่างหากที่จะใช้กับลิฟท์ใดลิฟท์หนึ่ง หรือมากกว่านั้น เพื่อใช้ในการดับเพลิงโดยเฉพาะ
- ติดตั้งเครื่องตรวจสอบไฟที่ใช้มือและอัตโนมัติที่มีประสิทธิภาพ และระบบสัญญาณแจ้งเหตุที่ติดต่อโดยตรงกับสถานีดับเพลิงที่ใกล้ที่สุด
- จัดให้มีเครื่องมือในการช่วยดับเพลิงขั้นแรกอย่างมีประสิทธิภาพในรูปของสายสูบ และเครื่องดับเพลิง สำหรับผู้ที่อยู่ในอาคารจะใช้เพื่อดับเพลิงที่เริ่มเกิดขึ้นได้
- จัดให้มีท่อน้ำที่จะส่งถึงทุกชั้นเพื่อการดับเพลิง โดยติดตั้ง ณ ระเบียงหรือบันไดที่ได้รับการป้องกัน
- ให้มีการควบคุมอย่างเข้มงวดต่อการใช้เครื่องตกแต่งและวัสดุที่ไหม้ไฟได้ภายในอาคาร เพื่อลดและจำกัดการลุกลามของอัคคีภัย
- จัดให้มีศูนย์ควบคุมเหตุฉุกเฉิน ตั้งอยู่ ณ บริเวณที่ได้รับการป้องกัน และปลอดภัยโดยมีระบบการติดต่อที่มีประสิทธิภาพกับทุกส่วนของอาคารได้
- กำหนดข้อควรปฏิบัติในการดับเพลิงและการอพยพผู้คนออกจากอาคาร โดยมีรายละเอียดที่ชัดแจ้งและเข้าใจง่ายสำหรับผู้ที่อยู่ในอาคาร
- ให้มีการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอเกี่ยวกับระบบการป้องกันและเครื่องมือเครื่องใช้ดับเพลิง เพื่อให้แน่ใจว่าอยู่ในสภาพที่พร้อมที่จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพทุกเวลา
- ระมัดระวังการเกิดเพลิงไหม้โดยการตรวจอย่างสม่ำเสมอ เพื่อหาและจำกัดสาเหตุธรรมดาโดยทั่วไปที่อาจทำให้เกิดเพลิงไหม้ได้
การประกันอัคคีภัย
ประกันไฟหรือเรียกเป็นทางการว่าประกันอัคคีภัย เป็นการประกันทรัพย์สินอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นที่นิยมแพร่หลายมากอยู่ในปัจจุบัน สาเหตุสำคัญทีทำให้การประกันไฟมีสถิติจำหน่ายมากที่สุดมากกว่าประเภทอื่น
เพราะได้เรียนรู้ถึงผลแห่งภัยพิบัติจากไฟไหม้ที่เกิดขึ้น ซึ่งความเสียหายที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้ง มิใช่ว่าทำลายแต่ทรัพย์สินในบางครั้งยังมีผู้เสียชีวิตเพราะความเป็นห่วงและพยายามที่จะปกป้องทรัพย์สิน
“ไฟ” เป็นสิ่งที่มีทั้งโทษและประโยชน์ต่อชีวิตมนุษย์อย่างมากมายนั่นเอง ทำให้การเป็นอยู่ในชีวิตประจำวันมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับไฟ
เมื่อการใช้ไฟกลายเป็นภาวะจำเป็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และอันตรายที่จะต้องเผชิญ จึงต้องพยามหาทางที่จะควบคุมหรือบรรเทาให้อยู่ในขอบเขตแห่งความเสียหายพอประมาณ
และในที่สุดก็มีผู้ที่คิดวิธีโดยใช้หลัก “การกระจาย” ความเสี่ยงภัยหรือ “เฉลี่ยความเสียหาย” ให้กับสมาชิกในสังคมหรือชุมชนอย่างเป็นสัดส่วนที่ยุติธรรม
สอบถามข้อมูล สั่งซื้อ ขอใบเสนอราคา
HOT LINE : 081-700-4715, 02-888-3507-8, 081-721-5542
การกระจายความเสี่ยงภัย หรือเฉลี่ยความเสียหายได้ถูกเรียกว่า “การประกันภัย” ผู้ที่รับเอาความเสี่ยงภัยจากสมาชิกมาดำเนินการเพื่อจัดแบ่งส่วนเฉลี่ยความเสียหายแต่เพียงส่วนน้อย
โดยการยอมเสียเงินรายปีที่เรียกว่า “เบี้ยประกัน” ให้กับ บริษัทรับประกันเพื่อการแลกเปลี่ยนที่บริษัทได้รับเอาความเสี่ยงภัย สำหรับความเสียหายส่วนใหญ่ไปแทน
สิ่งที่ควรจะทำความเข้าใจเกี่ยวกับการประกันไฟบางประการเพราะเท่าที่ได้มีการศึกษาข้อมูลต่าง ๆ ที่ทางบริษัทประกันภัยต่าง ๆ ได้เก็บรวบรวมมาปรากฏเป็นความจริงอย่างหนึ่งว่า
ผู้เอาประกันส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจถึงหลักการประกันและเงื่อนไขของการประกันดีพอ ทำให้บางครั้งเกิดมีปัญหาและโต้แย้งกันขึ้นระหว่างผู้รับประกันกับผู้เอาประกัน
และมีหลายครั้งถึงขั้นกล่าวหาว่าบริษัทรับประกันเบี้ยวไม่ยอมจ่ายเงินชดเชยก็มี ฉะนั้นเราควรจะเริ่มต้นศึกษาตั้งแต่การตีความของคำว่า “ไฟ” ไปถึงกฎเกณฑ์สำคัญเกี่ยวกับการประกันไฟ พอจะอธิบายโดยสังเขป ดังนี้คือ
- การขอทำประกันไฟเพื่อคุ้มครองทรัพย์สินใด ๆ ก็ตาม ผู้ขอเอาประกันจะต้องแน่ใจเสียก่อนว่าตนเองเป็นผู้มีผลประโยชน์ หรือส่วนได้เสียในทรัพย์สินนั้น ๆ อย่างแท้จริง
จึงจะมีสิทธิที่จะนำทรัพย์สินไปขอทำประกันได้ ความข้อนี้นอกจากจะถือเป็นกฎเกณฑ์ปฏิบัติโดยทั่วไปเกี่ยวกับการประกันภัยแล้ว
ยังระบุไว้ชัดเจนอีกด้วยและการเป็นผู้มีผลประโยชน์หรือส่วนได้ส่วนเสียในทรัพย์สินโดยตรง กรณีที่เช่า หรือ เซ้งอาคารใด ๆ ก็ตาม จะไม่มีสิทธิที่จะนำอาคารนั้น ไปทำประกันเพื่อผลประโยชน์ของตนเองแต่อย่างใด - ผู้ที่เป็นเจ้าของหรือผู้ที่มีผลประโยชน์ส่วนได้เสียในทรัพย์สินที่จะเอาประกันแล้ว การขอทำประกันทุกครั้ง ผู้ขอเอาประกันจำต้องลงรายละเอียดบอกลักษณะของทรัพย์สินตลอดจนมูลค่าที่แท้จริงของทรัพย์สิน
ที่จะเอาประกันและรายการอื่น ๆ ที่จำเป็นที่ทางผู้รับประกันต้องการทราบในใบสมัคร หรือแบบขอทำประกันตามความเป็นจริงทุกประการ - กรณีทรัพย์สินที่เอาประกันเกิดเสียหายเนื่องจากไฟไหม้แล้ว โดยกฎเกณฑ์แห่งการชดใช้ในทางประกัน และโดยการปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้บัญญัติไว้
- หากบริษัทได้จัดเงินชดเชยให้สำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมด หรือเติมทุนประกันแล้วผู้รับประกันจะรับโอนสิทธิในการเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่เหลือจากความเสียหายก็ได้
- กรณีที่ผู้เอาประกันได้แบ่งทำประกันทรัพย์สินไว้กับหลายบริษัท และทำประกันไว้วันเดียวกัน เมื่อเกิดความเสียหายขึ้นกับทรัพย์สินที่เอาประกันทุก
บริษัทจะร่วมกันเฉลี่ยชดใช้ตามส่วนที่ได้รับประกันไว้จนเท่ากับจำนวนความเสียหายที่แท้จริง - ผู้เอาประกัน ได้ทำประกันทรัพย์สินต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง เช่น ทรัพย์สิน 200,000 แต่เจ้าของได้ทำประกันไว้เพียง 100,000 จะด้วยความเชื่อว่าไม่เกิดไฟไหม้หรือเสียดายเบี้ยประกันก็ตาม
วงเงินส่วนที่เหลือจากการประกัน เจ้าของหรือผู้เอาประกันต้องเป็นผู้รับประกันเอง ฉะนั้น ถ้าเกิดความเสียหายทุกครั้งไม่ว่าจะน้อยแต่ไหนก็ตาม ทั้งบริษัทที่รับประกันและผู้เอาประกันก็จะต้องร่วมกันรับผิดชอบตามส่วนที่รับประกัน - กรมธรรม์ประกันอัคคีภัยที่ใช้อยู่ในประเทศไทยเป็นชนิดมาตรฐานเหมือนกันทุกบริษัท ซึ่งนอกจากจะให้ความคุ้มครองในกรณีไฟไหม้แล้ว ยังให้ความคุ้มครองเพื่อการชดใช้เมื่อความเสียหายนั้นเกิดจากฟ้าผ่าด้วย
ความเสียหายบางอย่าง ซึ่งแม้จะมิได้มีสาเหตุโดยตรงจากไฟไหม้ก็ตาม ถ้าความเสียหายนั้นสืบได้ว่ามี “ไฟ” เป็นสาเหตุขั้นต้นแห่งความเสียหายแล้ว
สอบถามข้อมูล สั่งซื้อ ขอใบเสนอราคา
HOT LINE : 081-700-4715, 02-888-3507-8, 081-721-5542
บริษัทรับประกันก็จำต้องรับผิดชอบชดใช้ภายใต้กรมธรรม์ประกันไฟเช่นกัน ความเสียหายดังกล่าว ได้แก่
- ความเสียหายเนื่องจากควันไฟ หรือความร้อนไหม้เกรียม
- ความเสียหายเนื่องจากน้ำที่ใช้ดับเพลิง
- ความเสียหายที่เกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ดับเพลิงที่ได้ปฏิบัติไปตามหน้าที่
สำหรับเรื่องการรับประกัน บริษัทย่อมต้องมีหลักเพื่อถือปฏิบัติในการพิจารณารับประกันด้วย บริษัทจะมุ่งพิจารณาไปที่สถานะภาพในการเสี่ยงภัยเป็นสำคัญ คือ บริษัทจะต้องดูว่า
ทรัพย์สินที่จะขอทำประกันนั้นมีสภาพที่จะเสี่ยงต่อความเสียหายมากน้อยแค่ไหน ทั้งนี้ย่อมขึ้นอยู่กับลักษณะดังต่อไปนี้
- ลักษณะและสภาพที่ปรากฏของทรัพย์สินที่จะเอาประกัน เช่น ชนิดของทรัพย์สิน ลักษณะการใช้ สถานที่ตั้ง และ สภาพแวดล้อม ฯลฯ
เพราะถ้าทรัพย์สินที่เอาประกันทำด้วยวัสดุที่ทนไฟหรือไม่ติดไฟง่าย ย่อมมีโอกาสเสียหายน้อย - สภาพแวดล้อมอื่นที่จะมีอิทธิพลต่อผู้เอาประกัน ได้แก่ การมีหนี้สินของผู้เอาประกัน การตกต่ำทางด้านการค้า การดำเนินงานที่ล้มเหลวของผู้เอาประกัน
สินค้าบางประเภทหมดความนิยมในตลาด การจะหมดสิทธิในการเช่าหรือ เซ้งสถานที่และการจะถูกขับไล่ที่ เป็นต้น สภาวะดังกล่าว อาจมีส่วนผลักดันให้ผู้เอาประกันต้องสร้างสถานการณ์เพื่อเรียกร้องสินไหมโดยไม่สุจริตใจได้โดยง่าย
ปัจจุบัน บริษัทผู้รับประกันต่างก็ได้พยายาม ใช้หลักการพิจารณาเลือกรับประกันอย่างละเอียดรอบคอบ แต่ก็ยังไม่อาจจะหลีกเลี่ยงความเสียหายที่เกิดจากผลกระทำ
อันไม่สุจริตใจของผู้เอาประกันบางคนได้และเมื่อเกิดเหตุร้ายเช่นนี้ขึ้นครั้งใด ก็จะมีผู้สุจริตเป็นจำนวนมาก ต้องพลอยรับเคราะห์กรรมไปด้วย
Related link : รั้วไฟฟ้ากันขโมย Nemtex สัญญาณกันขโมยไร้สาย Optex
สอบถามข้อมูล สั่งซื้อ ขอใบเสนอราคา
HOT LINE : 081-700-4715, 02-888-3507-8, 081-721-5542