สำหรับการตลาดเชิงกิจกรรม เป็นรูปแบบหนึ่งของเครื่องมือการสื่อสารการตลาดของตราสินค้าที่กำลังใจได้รับความนิยม และ มีบทบาทมากในการดำเนินงานด้านการตลาดในยุคปัจจุบัน
สอบถามข้อมูล สั่งซื้อ ขอใบเสนอราคา
HOT LINE : 081-700-4715, 02-888-3507-8, 081-721-5542
ระบบรักษาความปลอดภัย
เป็นรูปแบบการสื่อสารที่ทำให้ผู้บริโภคได้รู้จักตราสินค้า และ เข้ามามีส่วนร่วมกับตราสินค้าอย่างใกล้ชิด แนวคิดเกี่ยวกับการตลาดเชิงกิจกรรม อันประกอบไปด้วยความหมาย และ
วัตถุประสงค์ของ การตลาดเชิงกิจกรรม รูปแบบของการจัดกิจกรรมทางการตลาด ตลอดจนหลักในการจัดกิจกรรมทางการตลาดให้มีประสิทธิผลโดยมีรายละเอียดดังนี้
ความหมาย และ วัตถุประสงค์ของการตลาดเชิงกิจกรรม
รูปแบบการสื่อสารการตลาดโดยวิธีการผสมผสานตราสินค้าเข้ากับการจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อให้ผู้บริโภคได้เข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมที่จัดขึ้น
จะช่วยให้บริษัทผู้ผลิตมีทางเลือกเพิ่มขึ้นจากการใช้เพียงโฆษณาทางสื่อมวลชน ยังสามารถเจาะจงพื้นที่ในดะดับท้องถิ่นได้ และ เป็นการเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างชัดเจน
นักสื่อสารการตลาดต้องมีวัตถุประสงค์ของการจัดกิจกรรมที่ชัดเจน การตลาดเชิงกิจกรรมยังเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิผลในการสร้าง และ เรียกร้องความสนใจจากผู้บริโภค
เป็นการกระตุ้นการขายด้วยการใช้ร่วมกับการส่งเสริมการขายรูปแบบต่าง ๆ ตลอดจนเป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นักสื่อสารการตลาดควรจัดกิจกรรมให้มีความน่าสนใจทั้งกับประชาชนกลุ่มเป้าหมาย และ สื่อมวลชน ในงานควรจะต้องมีชื่อตราสินค้าไว้อย่างชัดเจน
เพื่อให้เกิดการรับรู้สูงสุดแก่ผู้บริโภค อันจะนำไปสู่ทัศนคติ และ พฤติกรรมการซื้อตราสินค้าตามที่นักสื่อสารการตลาดต้องการได้ จึงนับเป็นเครื่องมือการสื่อสารที่สำคัญในการสื่อสารตราสินค้าไปสู่ผู้บริโภคได้อย่างดียิ่ง
การจัดกิจกรรมนั้นนอกจากจะสามารถที่จะสื่อสารกับผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายโดยตรงแล้ว ยังสามารถดึงดูดความสนใจของกลุ่มเป้าหมายให้เข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมได้เป็นอย่างมาก
การจักกิจกรรมทางการตลาดยังช่วยเลี่ยงการกระจุกตัวของการโฆษณาได้อย่างดียิ่ง
สอบถามข้อมูล สั่งซื้อ ขอใบเสนอราคา
HOT LINE : 081-700-4715, 02-888-3507-8, 081-721-5542
การตลาดเชิงกิจกรรมมีวัตถุประสงค์หลายประการ ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้
- แนะนำ หรือ เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ให้เป็นที่รู้จัก
- สร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างกลุ่มเป้าหมายกับบริษัทผู้ผลิต
- สร้างจุดยืน / ภาพลักษณ์ที่ดีของตราสินค้า และ องค์กร
- แสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร
- กระตุ้นการตัดสินใจซื้อสินค้า
- เร่งให้เกิดการซื้อซ้ำในตราสินค้า
- สร้างความภักดีให้เกิดขึ้นต่อตราสินค้า
- สร้างทัศนคติที่ดีต่อตราสินค้าในจิตใจของผู้บริโภค
- สร้างการมีส่วนร่วมระหว่างตราสินค้ากับผู้บริโภคเป้าหมาย
- มอบรางวัล หรือ การแสดงความขอบคุณผู้บริโภคเป้าหมาย
- เชื่อมโยงตราสินค้า องค์กร กับวิถีชีวิตของกลุ่มเป้าหมายให้เข้ากันได้อย่างกลมกลืน
- เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เครื่องมือการสื่อสารการตลาดประเภทอื่นเข้าถึงยาก
- ดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายให้รู้จักตราสินค้าเพิ่มมากขึ้น
- เพื่อเผยแพร่เกียรติคุณ / ชื่อเสียงขององค์กรให้เป็นที่ทราบกันอย่างแพร่หลาย
- ช่วยส่งเสริม / สื่อสารข่าวสารทางการตลาดกับเครืองมือสื่อสารการตลาดประเภทอื่น ๆ
รูปแบบของการจัดกิจกรรมทางการตลาด
นักการสื่อสารการตลาดสามารถจัดกิจกรรมทางการตลาดได้ 2 ลักษณะ คือ
- กิจกรรมที่ตราสินค้า หรือ องค์กรจัดขึ้นเอง วิธีนี้จะเสียค่าใช้จ่ายสูง และ ต้องใช้งบประมาณ และ บุคคลากรจำนวนมาก ข้อดี คือ สามารถจัดกิจกรรม และ
ออกแบบรูปแบบได้ตรงวัตถุประสงค์ และ กลุ่มเป้าหมาย สามารถสร้างผลกระทบของสินค้า และ บริการให้กับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ - กิจกรรมที่ตราสินค้า หรือ องค์กรร่วมมือกับหน่วยงานอื่น วิธีนี้เป็นในลักษณะของการเป็นผู้สนับสนุนกิจกรรมที่หน่วยงานอื่นจัดขึ้น หรือ การที่องค์กรเข้าไปขอมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่หน่วยงานอื่นเป็นผู้จัด
การเป็นผู้อุปถัมภ์กิจกรรมพิเศษในกิจกรรมที่องค์กรอื่นจัดขึ้น เช่น กีฬา ดนตรี นิทรรศการ หรือ กิจกรรมการกุศล เป็นต้น ในการเข้าไปเป็นผู้สนับสนุนนั้นอาจจะเลือกว่าเป็นผู้สนับสนุนหลัก หรือ
รายย่อยก็ได้แล้วแต่งบประมาณที่มีในการสนับสนุน
สอบถามข้อมูล สั่งซื้อ ขอใบเสนอราคา
HOT LINE : 081-700-4715, 02-888-3507-8, 081-721-5542
การจัดกิจกรรมทางการตลาดไม่ว่าจะเป็นในลักษณะใด นักสื่อสารการตลาดสามารถกำหนดรูปแบบของการตลาดเชิงกิจกรรมได้หลากหลายรูปแบบ ดังนี้
การจัดกิจกรรมการแข่งขันกีฬา การจัดการประกวด การเดินสายแสดงผลงาน การจัดประชุม สัมมนา การจัดคอนเสิร์ต การจัดงานมอบรางวัล การเปิดงาน กิจกรรมการบริจาค
การแถลงข่าว กิจกรรมการรณรงค์ งานวัฒนธรรม งานกิจกรรมความรู้แฝงความบันเทิง การส่งเสริมการขายร่วมกันสินค้าอื่น เป็นต้น
ข้อดีของการตลาดเชิงกิจกรรมมีหลายประการได้แก่ สามารถสร้างประสบการณ์ร่วมกันระหว่างตราสินค้า และ ผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี สามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายได้ดี มีความยืดหยุ่นสูง
มีประสิทธิภาพในด้านต้นทุน เป็นรูปแบบการสื่อสารสองทาง การจัดกิจกรรมทางการตลาดยังช่วยเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการซื้อของบุคคลช่วยยกระดับมาตรฐานการดำเนินชีวิตของประชากรให้สูงขึ้น
เป็นแหล่งกระจายสินค้าออกสู่ตลาด อันจะทำให้เกิดการหมุนเวียนของรายได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้ระบบเศรษฐกิจมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น แต่ก็มีข้อจำกัดอยู่บางประการ ได้แก่ การจัดกิจกรรมทางการตลาด
จำเป็นต้องใช้ทรัพยากรทั้งในด้านกำลังคน เวลา และ เงินในปริมาณที่มาก และ หากองค์กรผู้ผลิตไม่สามารถเชื่อมโยงตราสินค้ากับกิจกรรมได้ ผลประโยชน์ที่ได้รับอาจไม่คุ้มค่ากับค่าใช้จ่ายที่เสียไปได้
สอบถามข้อมูล สั่งซื้อ ขอใบเสนอราคา
HOT LINE : 081-700-4715, 02-888-3507-8, 081-721-5542
กระบวนการจัดการตลาดเชิงกิจกรรม
การจัดการตลาดเชิงกิจกรรมสามารถแบ่งกระบวนการออกเป็น 4 ขั้นตอนใหญ่ ๆ ดังนี้
- การวิเคราะห์สถานการณ์ เป็นขั้นตอนแรกของการจัดกิจกรรมทางการตลาด นักสื่อสารจะเริ่มจากการวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ ได้แก่ ข้อมูลเกี่ยวกับองค์กร ข้อมูลทางการตลาด
ข้อมูลเกี่ยวกับผู้บริโภค ข้อมูลเกี่ยวกับคู่แข่งขัน เพื่อให้เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้มากที่สุดเพื่อนำไปสู่การกำหนดปัญหาของการสื่อสารการตลาดที่ชัดเจนที่การจัดกิจกรรมทางการตลาดจะสามารถเข้าไปช่วยแก้ไขปัญหาได้ - การวางแผน นักสื่อสารการตลาดจะทำการวางแผน ซึ่งจะประกอบไปด้วยที่มาของการจัดงาน วัตถุประสงค์ กลุ่มเป้าหมาย แนวคิดหลักในการจัดงาน การจัดทำแผนการปฏิบัติงาน
การกำหนดงบประมาณของกิจกรรม และ การประเมินผลแผนกิจกรรม - การดำเนินงานตามแผน ในทางปฏิบัติองค์กรผู้ผลิตสามารถเป็นผู้ดำเนินการด้วยตนเอง หรือ ว่าจ้างหน่วยงานภายนอกเป็นผู้ดำเนินการก็ได้ ซึ่งอาจมีข้อเสียแตกต่างกัน
กิจกรรมที่องค์ผู้ผลิตเป็นผู้ดำเนินการด้วยตนเองย่อมมีความรู้ความเข้าใจในสินค้า และ บริการของตนเองอย่างลึกซึ้ง จึงทำให้สามารถจัดกิจกรรมได้ตรงวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ และ
สามารถสร้างผลกระทบของสินค้า และ บริการให้กลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ก็มีข้อจำกัด คือ องค์การจำเป็นที่ต้องมีงบประมาณกำลังคน และ เวลาในการจัดงานที่เพียงพอ
บุคลากรที่มีอาจไม่มีความเชี่ยวชาญในการจัดกิจกรรม และ สำหรับกิจกรรมที่ว่าจ้างหน่วยงานภายนอกอาจมีข้อดี คือ องค์กรผู้ผลิตสามารถเลือกหน่วยงานภายนอกที่มีความเชี่ยวชาญในการจัดงานได้มากกว่า
เป็นการประหวัดเวลาในการดำเนินการ และ การจัดกิจกรรมจะมีความคล่องตัวสูง แต่มีข้อจำกัด คือ ข้อมูลที่เป็นความลับขององค์กรอาจรั่วไหล วัตถุประสงค์ของการจัดงานไม่ชัดเจน
กิจกรรมที่จัดไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ และ ความตั้งใจขององค์กรผู้ผลิตที่กำหนดไว้ - การประเมินผล นักสื่อสารการตลาด ต้องทำการประเมินผลกิจกรรมที่จัดขึ้น วัตถุประสงค์ของการจัดงานเป็นไปตามหลักที่ตั้งไว้ หรือ ไม่ ซึ่งรูปแบบของการประเมินผล
สามารถประเมินได้ในหลายลักษณะทั้งในเชิงปริมาณด้วยการแจกแบบสอบถาม หรือ การประเมินในเชิงคุณภาพด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก การสนทนากลุ่มย่อย หรือ การสังเกตพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เข้าร่วมงาน เป็นต้น
สอบถามข้อมูล สั่งซื้อ ขอใบเสนอราคา
HOT LINE : 081-700-4715, 02-888-3507-8, 081-721-5542
หลักในการจัดกิจกรรมทางการตลาดให้มีประสิทธิผล
นักสื่อสารการตลาดควรทราบหลักเกณฑ์ที่สำคัญในการจัดกิจกรรมทางการตลาดที่จะช่วยให้เกิดประสิทธิผลตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ๅได้เสนอแนะแนวทางไว้หลายประการได้แก่ กิจกรรมต้องแปลก
ต้องใหม่ ต้องใหญ่ ต้องทำให้ดัง และ มีชื่อเสียง ชื่องานควรมีชื่อตราสินค้า หรือ ชื่อบริษัทอยู่ด้วย เครื่องหมายของงานควรจะต้องมีความสัมพันธ์กับเครื่องหมายตราสินค้า
ของที่ระลึกในงานควรมีชื่อตราสินค้าปรากฏอยู่ด้วย การจัดฉากหลักควรมีชื่อตราสินค้า หรือ ชื่อบริษัท กิจกรรมนั้นต้องมีความน่าสนใจ มีการเชิญสื่อมวลชนมาร่วมงาน
ต้องมีการซื้อสื่อเพื่อเผยแพร่ข่าวการจัดกิจกรรม ควรตัวสัญลักษณ์ประจำงาน ต้องมีการส่งข่าวประชาสัมพันธ์ก่อนการจัดงาน ควรใช้ร่วมกับเครื่องมือการสื่อสารการตลาดประเภทอื่น ๆ
การสื่อสารด้วยผลิตภัณฑ์
การสื่อสารด้วยผลิตภัณฑ์ บทบาทของผลิตภัณฑ์ในฐานะที่เป็นเครื่องมือสำคัญในการสื่อสารการตลาด ประกอบไปด้วยแนวคิดของผลิตภัณฑ์ ตราสินค้า และ
การสร้างคุณค่าตราสินค้า ตลอดจนชื่อตราสินค้า ฉลาก และ บรรจุภัณฑ์ ซึ่งล้วนสามารถที่จะใช้เป็นเครื่องมือการสื่อสารการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตภัณฑ์
สอบถามข้อมูล สั่งซื้อ ขอใบเสนอราคา
HOT LINE : 081-700-4715, 02-888-3507-8, 081-721-5542
แนวคิดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์
ผลิตภัณฑ์ ได้แก่สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่นำเสนอตลาด เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด รวมถึงสิ่งที่จับต้องได้และไม่ได้ ผลิตภัณฑ์จึงมีความหมายรวมถึงสินค้าและบริการ
ครอบคลุมถึง รูปแบบของสินค้า สไตล์ ชื่อตราสินค้า บรรจุภัณฑ์ และ การบริการ
ผลิตภัณฑ์สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ดังนี้คือ
- ผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภค เป็นสินค้าที่ใช้กับผู้บริโภค แบ่งออกเป็น 4 ประเภทย่อย ได้แก่
- สินค้าสะดวกซื้อ สินค้าหรือบริการที่ผู้บริโภคซื้อบ่อยที่สุด และ ใช้ความพยายามในการซื้อน้อยที่สุด มักมีราคาไม่แพง เช่น สบู่ หนังสือพิมพ์ ยาลดไข้ ยาสระผม น้ำอัดลม น้ำดื่ม ยาสีฟัน เป็นต้น
- สินค้าเลือกซื้อ สินหค้าหรือบริการที่ผู้บริโภคจะใช้ความพยายามมากขึ้นในการซื้อ จะพิจารณาจากราคา และ คุณภาพ เช่น เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า เครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น
- สินค้าเฉพาะเจาะจง สินค้าหรือบริการที่ผู้บริโภคจะใช้ความพยายามมากเป็นพิเศษในการซื้อ จะพิจารณาความมีชื่อเสียงและความเชี่ยวชาญของชื่อตราสินค้าเป็นหลัก เช่น รถยนต์ นาฬิกา เป็นต้น
- สินค้าไม่แสวงหา สินค้าที่ผู้ซื้อโดยปกติจะไม่แสวงหาสินค้าและบริการเหล่านี้ แต่จะเกิดความต้องการเมื่อพบเห็นในโฆษณา หรือ มีพนักงานขายเสนอขาย ได้แก่ ประกันภัย และ สารานุกรม เป็นต้น
- สินค้าสะดวกซื้อ สินค้าหรือบริการที่ผู้บริโภคซื้อบ่อยที่สุด และ ใช้ความพยายามในการซื้อน้อยที่สุด มักมีราคาไม่แพง เช่น สบู่ หนังสือพิมพ์ ยาลดไข้ ยาสระผม น้ำอัดลม น้ำดื่ม ยาสีฟัน เป็นต้น
- ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม สินค้าที่ใช้สำหรับอุตสาหกรรม ผู้ซื้อไม่ได้นำสินค้าเหล่านี้ไปใช้เอง แต่จะนำไปผลิตต่อ ขายต่อหรือเพื่อแปรรูป ซึ่งแบ่งออกเป็น 5 ประเภท ได้แก่
- สินค้าเกี่ยวกับการติดตั้ง สินค้าที่เป็นทรัพย์สินหลักของบริษัทอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น เครื่องจักรขนาดใหญ่ เครื่องบิน รถจักร เป็นต้น
- ชิ้นส่วนและวัสดุใช้เป็นส่วนประกอบ อุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป ได้แก่ แบตเตอรี่สำหรับผลิตรถยนต์ เม็ดพลาสติกที่ใช้ผลิตถุงพลาสติก เป็นต้น
- สินค้าเครื่องมือที่ใช้เป็นอุปกรณ์ สินค้าที่มีอายุสั้นกว่าประเภทแรก และมีราคาต่ำกว่า เช่น พิมพ์ดีด สว่าน เครื่องมือต่าง ๆ ตะไบ ตะปู เป็นต้น
- วัตถุดิบ สินค้าที่ใช้ในการผลิตสินค้าสำเร็จรูปต่าง ๆ คล้ายกับชิ้นส่วนและวัสดุใช้เป็นส่วนประกอบ มักจะใช้กับสินค้าทางการเกษตรหรือสินค้าที่ได้จากธรรมชาติ เช่น ข้าว ฝ้าย ถั่วเหลือง วัว ควาย นม ไข่ ทองแดง เหล็ก เป็นต้น
- อะไหล่ สินค้าที่จำเป็นต่อการปฏิบัติงานประจำวันของอุตสาหกรรม ไม่ได้เป็นองค์ประกอบของผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป เช่น น้ำยาล้างโรงงาน หลอดไฟ ไม้กวาด ที่ตัดขยะ น้ำมันหล่อลื่น เป็นต้น
- สินค้าเกี่ยวกับการติดตั้ง สินค้าที่เป็นทรัพย์สินหลักของบริษัทอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น เครื่องจักรขนาดใหญ่ เครื่องบิน รถจักร เป็นต้น
สอบถามข้อมูล สั่งซื้อ ขอใบเสนอราคา
HOT LINE : 081-700-4715, 02-888-3507-8, 081-721-5542
ตราสินค้าและการสร้างคุณค่าตราสินค้า
ตราสินค้า การรับรู้ที่เป็นผลมาจากประสบการณ์ทั้งโดยตรงและอ้อมต่อบริษัทหรือผลิตภัณฑ์ของบริษัท แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างผลิตภัณฑ์หนึ่งกับอีกผลิตภัณฑ์หนึ่ง
การรับรู้ก็สามารถเกิดขึ้นได้จากคุณลักษณะที่จับต้องได้ เช่น รูปลักษณ์ การออกแบบ ขนาด และรูปร่าง และคุณลักษณ์ที่จับต้องไม่ได้ของผลิตภัณฑ์ เช่น ชื่อเสียง ภาพลักษณ์ และความน่าเชื่อถือ
เกิดจากการสื่อสารผ่านช่องทางต่าง ๆ ที่ผู้บริโภคมีปฏิสัมพันธ์ด้วยนั่นเอง ปัจจุบันนักสื่อสารการตลาดหันมาสนใจเรื่องการสร้างตราสินค้ากันมากขึ้นให้เป็นที่ยอมรับในสายตาของผู้บริโภค
เป็นกลยุทธ์การแข่งขันที่มีประสิทธิภาพที่ยากจะทำการลอกเลียนแบบได้ เพราะตราสินค้าเป็นเรื่องที่มากกว่าแค่ชื่อสัญลักษณ์หรือโลโก้เท่านั้น
ยังรวมถึงการรับรู้ที่เป็นผลมาจากประสบการณ์ของผู้บริโภคที่มีต่อตราสินค้าด้วย เป้าหมายสำคัญของการสร้างตราสินค้า การทำให้ตราสินค้านั้นมีคุณค่าหรือมูลค่าในสายตาของผู้บริโภค นักสื่อสารการตลาดเรียกว่า “คุณค่าตราสินค้า”
การสร้างคุณค่าตราสินค้า ในยุคปัจจุบันการแข่งขันเรื่องคุณค่าตราสินค้า เป็นแนวคิดที่มีความสำคัญและได้รับความสนใจเป็นอย่างมากทั้งจากกลุ่มวิชาการด้านการสื่อสารทั้งในและต่างประเทศเป็นจำนวนมาก
ในปัจจุบันรูปแบบการแข่งขันไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการแข่งขันในระดับคุณภาพสินค้าหรือการให้บริการเท่านั้น รูปแบบการแข่งขันเปลี่ยนมาเป็นการแข่งขันในตราสินค้า
หากสินค้าใดสามารถสร้างและพัฒนาคุณค่าตราสินค้าให้เข้าไปอยู่ในจิตใจของผู้บริโภคได้มากเท่าใด ธุรกิจนั้นก็ย่อมมีโอกาสสูงที่จะประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
เนื่องจากผู้บริโภคมีความผูกพันธ์และมีความเชื่อมั่นกับตราสินค้าแล้วนั่นเอง
สอบถามข้อมูล สั่งซื้อ ขอใบเสนอราคา
HOT LINE : 081-700-4715, 02-888-3507-8, 081-721-5542
องค์ประกอบที่สำคัญของคุณค่าตราสินค้าประกอบไปด้วย 5 องค์ประกอบ คือ
- ความภักดีในตราสินค้า
- การรู้จักชื่อตราสินค้า
- การรับรู้ในคุณภาพสินค้า
- ความเชื่อมโยงกับตราสินค้า
- สินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ ของตราสินค้า
การสร้างคุณค่าตราสินค้ามาแล้ว สิ่งที่นับว่าจะขาดเสียมิได้คือการวัดและประเมินผลสิ่งที่ธุรกิจได้สร้างไปแล้วว่าประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใด
ด้วยเหตุนี้ธุรกิจจึงจำเป็นต้องทำการวัดและประเมินผลคุณค่าตราสินค้าอย่างสม่ำเสมอทุก ๆ 6 เดือน หรือ อย่างน้อยทุก ๆ 1 ปี เพื่อที่จะได้นำข้อมูลมาใช้ในการปรับปรุงกลยุทธ์ของธุรกิจให้ทันกับ
การเปลี่ยนแปลงได้อย่างทันท่วงที ในการวัดและประเมินผลคุณค่าตราสินค้า สามารถแบ่งได้ออกเป็น 2 แนวทางหลัก ๆ คือ
- การวัดและประเมินคุณค่าตราสินค้าในมมุมมองของบริษัท เป็นการวัดและประเมินผลตามแนวคิดทางการเงิน ซึ่งผลมาจากยอดขายของสินค้าที่เพิ่มขึ้นของตราสินค้า
นิตยสาร ได้ใช้ในการวัดและประเมินผลคุณค่าตราสินค้าโดยคิดจากผลกำไรและความแข็งแกร่งของตราสินค้าในด้านต่าง ๆ นับว่าเป็นการวัดคุณค่าตราสินค้าทางด้านการเงินที่ได้รับการยอมรับ
อีกวิธีหนึ่งและได้กำหนดเกณฑ์ในการตรวจสอบคุณค่าตราสินค้าไว้ 7 ประเด็นคือ ความเป็นผู้นำ ความมั่นคง ตลาด ความเป็นสากล แนวโน้มที่ดี การสนับสนุน และการปกป้อง - การวัดและประเมินผลคุณค่าตราสินค้าในมุมมองของผู้บริโภค เป็นแนวทางการวัดที่ใช้แนวคิดทางด้านผู้บริโภคหรือผู้ใช้บริการ ที่นิยามคุณค่าตราสินค้าไว้ว่า
เป็นคุณค่าส่วนเพิ่มที่ตราสินค้าได้ทำให้เกิดขึ้นกับตัวสินค้า โดยสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มที่วัดจากการรับรู้ของผู้บริโภค กลุ่มที่วัดจากพฤติกรรมของผู้บริโภค
สอบถามข้อมูล สั่งซื้อ ขอใบเสนอราคา
HOT LINE : 081-700-4715, 02-888-3507-8, 081-721-5542
ชื่อตราสินค้า ฉลาก และ บรรจุภัณฑ์
ชื่อตราสินค้า ส่วนหนึ่งของตราสินค้าที่สามารถถูกพูดออกมาเป็นคำพูด ประกอบไปด้วย ตัวอักษร สัญลักษณ์ กลุ่มของคำ หรือ กลุ่มของตัวอักษรก็ได้ หรืออาจเป็นส่วนผสมของสิ่งดังกล่าว
เพื่อแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของสินค้าและบริการแต่ละราย ตราสินค้า นับเป็นเครื่องมือสำคัญของการสื่อสารการตลาด เพราะการที่ชื่อตราสินค้า
นั้นจะประสบความสำเร็จได้ จำเป็นอย่างยิ่งที่ชื่อนั้นจะต้องเป็นที่จดจำได้ง่ายด้วยเช่นกัน ซึ่งการตั้งชื่อตราสินค้าที่ดีควรมีหลักดังนี้
- ชื่อนั้นต้องแตกต่างจากคู่แข่งขัน
- สั้น กะทัดรัด อ่านง่าย
- เป็นชื่อที่บรรยายคุณลักษณะ / คุณประโยชน์ของตราสินค้าได้
- ออกเสียงง่าย
- จดจำได้ง่าย และสะกดได้ง่าย
- ชื่อที่ตั้งควรเข้ากันได้กับภาพลักษณ์ของสินค้า
- ชื่อนั้นควรเป็นชื่อที่ฟังดูทันสมัย ไม่ล้าสมัยได้ง่าย
ฉลาก ส่วนของข้อความที่เขียนอยู่บนบรรจุภัณฑ์ ทำหน้าที่บอกรายละเอีณฑ์ยดต่าง ๆ ของผลิตภัณฑ์ และ ยังสามารถสื่อสารข้อความโฆษณาต่าง ๆ ของผลิตภัณฑ์บนบรรจุภัณฑ์นั้นได้ ฉลากสามารถแบ่งได้เป็นหลายประเภทได้แก่
- ฉลากบอกชื่อตราสินค้า
- ฉลากบอกระดับคุณภาพของสินค้า
- ฉลากบอกรายละเอียดต่าง ๆ ของตราสินค้า ในการเขียนฉลากนั้น มีหลักสำคัญดังนี้ ข้อความที่เขียนลงบนฉลากควรมีข้อความที่ครบถ้วน
ข้อความที่เขียนในฉลากจะต้องเห็นได้ชัดเจน ข้อความบรรยายสรรพคุณ หากสินค้าได้รับเครื่องหมายรับประกันคุณภาพจากหน่วยงานที่เป็นที่น่าเชื่อถือ
บรรจุภัณฑ์ สิ่งที่ห่อหุ้มผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภค ถูกนำมาใช้เพื่อวัตถุประสงค์หลายประการได้แก่ การปกป้องสินค้า การให้ข้อมูลรายละเอียดของผลิตภัณฑ์
สอบถามข้อมูล สั่งซื้อ ขอใบเสนอราคา
HOT LINE : 081-700-4715, 02-888-3507-8, 081-721-5542
การป้องกันการขโมย
ผลิตภัณฑ์จากกลุ่มมิจฉาชีพ และให้ข่าวสารเพื่อการส่งเสริมการตลาดของผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์เปรียบเหมือนเป็นรูปร่างหน้าตาของสินค้าที่สามารถแสดงออกถึงภาพลักษณ์และตำแหน่งของผลิตภัณฑ์ได้เป็นอย่างดี
โครงสร้างของบรรจุภัณฑ์จะประกอบไปด้วย 5 องค์ประกอบสำคัญได้แก่
- การใช้สีบนบรรจุภัณฑ์
- การออกแบบและรูปร่างของบรรจุภัณฑ์
- ณ
- วัสดุที่ใช้ทำบรรจุภัณฑ์
- ข้อมูลที่เขียนบนบรรจุภัณฑ์
ในการประเมินบรรจุภัณฑ์ที่ดีนั้น สามารถพิจารณาได้ดังนี้
- บรรจุภัณฑ์นั้นต้องสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
- บรรจุภัณฑ์นั้นต้องให้ข้อมูลข่าวสารของผลิตภัณฑ์ได้
- บรรจุภัณฑ์นั้นต้องสามารถดึงดูดอารมณ์ความรู้สึกได้
- บรรจุภัณฑ์นั้นจะต้องสามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
กระบวนการในการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่นักสื่อสารการตลาดควรทราบมีทั้งสิ้น 5 ขั้นตอนได้แก่
- การระบุวัตถุประสงค์ของตำแหน่งตราสินค้าที่ต้องการ
- ทำการวิเคราะห์ประเภทของสินค้า
- ทำการวิเคราะห์คู่แข่งขัน
- ทำการระบุถึงประโยชน์หรือคุณสมบัติที่โดดเด่นของตราสินค้า
- ทำการจัดลำดับความสำคัญของประโยชน์หรือคุณสมบัติที่โดดเด่นของตราสินค้าที่ต้องการ
Related link : กล้องวงจรปิด Hikvision ระบบรักษาความปลอดภัยด้วยกล้องวงจรปิด
สอบถามข้อมูล สั่งซื้อ ขอใบเสนอราคา