จะเห็นได้ว่า การขับรถหน้าฝน ถ้าขับรถโดยใช้ความเร็วประมาณ 50 กม./ชม. บนถนนที่มีน้ำท่วมขังดอกยางจะไม่สามารถรีดน้ำออกจากร่องได้ทัน จะทำให้น้ำแทรกตัวคล้ายลิ่มอยู่ระหว่างยางกับผิวถนน
อาการเช่นนี้เรียกว่า อาการเหินน้ำ หรือ ไฮโดรเพลนนิ่ง ทำให้การควบคุมบังคับพวงมาลัย และ การเบรกทำได้ลำบาก ยิ่งถ้าดอกยางสึกหรอมาก อาการเหินน้ำจะเกิดขึ้นที่ความเร็วต่ำกว่านี้
สอบถามข้อมูล สั่งซื้อ ขอใบเสนอราคา
HOT LINE : 081-700-4715, 02-888-3507-8, 081-721-5542
กล้องวงจรปิดจับป้ายทะเบียนรถ
ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของผู้ขับขี่ จึงไม่ควรขับรถโดยใช้ความเร็วสูงบนผิวถนนที่มีน้ำท่วมขังโดยเด็ดขาด เพราะเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ นอกจากนี้ผู้ขับขี่ยังต้องระมัดระวังไม่ให้น้ำกระเด็นไปโดนรถจักรยานยนต์ หรือ คนที่เดินถนนอีกด้วย
คำแนะนำในการขับรถหน้าฝน
- สภาพรถต้องพร้อม ก่อนใช้งานต้องตรวจสภาพรถทุกครั้ง เบรกต้องอยู่ในสภาพดี ยางมีดอกเพียงพอ ระบบไฟฟ้าใช้ได้หมด ที่ปัดน้ำฝนต้องใช้งานได้ดี และ น้ำฉีดกระจกต้องมีเพียงพอ ในรถต้องมี กล้องติดรถยนต์
- ขณะฝนตกควรใช้ความเร็วกว่าปกติ และ เลือกใช้เกียร์ให้เหมาะสมเพื่อช่วยให้รถเกาะถนนดีขึ้น
- ถ้าฝนตกหนักควรเปิดไฟใหญ่ เพื่อช่วยให้รถที่วิ่งสวนทางมามองเห็นรถเรา
- หลีกเลี่ยงการเหยียบเบรกอย่างรุนแรง และ หักพวงมาลัยทันทีทันใด
- ควรเว้นระยะห่างจากรถคันหน้าให้มากกว่าปกติ เนื่องจากระยะหยุดรถจะยาวขึ้น
- มองกวาดสายตา และ ใช้กระจกอย่างสม่ำเสมอในขณะขับ
หมายเหตุ ขณะที่ฝนเริ่มตกใหม่ๆ ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่อันตรายมาก รถจะลื่นไถลได้ง่าย เนื่องจากฝุ่น และ สิ่งสกปรกต่างๆที่ติดอยู่บนผิวถนนจะรวมตัวกับน้ำเปรียบเสมือนกับจาระบี
สอบถามข้อมูล สั่งซื้อ ขอใบเสนอราคา
HOT LINE : 081-700-4715, 02-888-3507-8, 081-721-5542
ควรหลีกเลี่ยงการเบรกกะทันหัน และ หักพวกมาลัยทันทีทันใด
เมื่อฝนตกไปได้สักพักหนึ่ง ฝุ่นผง และ สิ่งสกปรกต่างๆจะถูกชะล้างให้หมดไป ทำให้รถเกาะถนนดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ถ้าขับรถโดยใช้ความเร็วสูงยางรถก็จะเกิดการลอยตัวได้เช่นกัน
ทำให้รถเสียการควบคุมได้ เราเรียกว่าไฮโดรเพลนนิ่ง อาการนี้เปรียบเสมือนเรือที่แล่นบนผิวน้ำ
รถลื่นไถล มีสาเหตุเกิดจาก
- ใช้ความเร็วสูง และ เบรกกะทันหันจนล้อล็อค
- หักเลี้ยวมากเกินไป
- พื้นผิวถนนลื่น
- ดอกยางสึกหรอมาก
การแก้ปัญหาเมื่อรถเกิดการลื่นไถล ทำได้ดังนี้
- ถ้าท้ายรถปัดไปทางซ้าย ให้หมุนพวงมาลัยไปทางซ้าย
- ถ้าท้ายรถปัดไปทางขวา ให้หมุนพวงมาลัยไปทางขวา
- หมุนไปทางซ้าย และ ขวาหลายๆครั้ง จนกระทั่งรถหยุดการลื่นไถล
การคาดการณ์ล่วงหน้า และ การแก้ไขก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุ
เรานำสิ่งที่มองเห็นด้วยตา หรือ การสังเกตการณ์มาคาดการณ์ในเชิงป้องกันไว้ก่อน เพื่อที่จะตัดสินใจแก้ไขเหตุการณ์ได้ทันก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุโปรดจำไว้ว่า ถ้าเห็นก่อน
คาดการณ์ได้ถูกต้อง และ แก้ไขได้ทันเวลา รับรองว่าอุบัติเหตุเกิดยากครับ ตัวอย่างเหตุการณ์ เช่น
- เห็นป้ายเตือนข้างหน้ามีทางแยกซ้าย และ มีตึกบัง ให้คาดการณ์ว่าอาจมีรถวิ่งออกมา เราอาจต้องใช้แตรเตือน หรือ ชะลอความเร็วลง
- ขับรถเข้าทางร่วมทางแยก และ เห็นไฟจราจรสีเขียวติดอยู่ ให้คาดการณ์ว่าไฟอาจเปลี่ยนเป็นสีเหลือง และ แดง ก่อนถึงทางร่วมทางแยก เราอาจจะต้องมองกระจกทุกๆ10 วินาที และควรชะลอความเร็ว
- เห็นข้างหน้าเป็นทางโค้งหักศอก ให้คาดการณ์ว่าอาจมีรถสวนวิ่งกินเลนมา หรือ มีรถจอดเสียอยู่ เราควรใช้แตรเตือน และ เลือกใช้ช่องทางเดินรถให้ถูกต้อง รวมทั้งควรชะลอความเร็วด้วย
- เห็นฝูงวัวเดินอยู่ข้างถนน ให้คาดการณ์ว่าวัวอาจจะวิ่งตัดหน้ารถ ควรชะลอความเร็ว ในกรณีนี้ห้ามใช้เสียงแตรเตือนโดยเด็ดขาด มีคำกล่าวกันว่าถ้าบีบแตร เมื่อวัวได้ยินจะวิ่งเข้าหา ส่วนสุนัขจะวิ่งถอยหลัง
- ข้างหน้ามีทางแยก และ เรากำลังวิ่งตามหลังรถบรรทุกอยู่ ให้คาดการณ์ว่ารถบรรทุกอาจเลี้ยวโดยไม่เปิดไฟเลี้ยว เราควรมองกระจกหลังข้าง และ ชะลอความเร็ว
- เห็นรถจอดเรียงกันเป็นแถวในตัวเมือง ให้คาดการณ์ว่าอาจจะมีคนในรถคันใดคันหนึ่งเปิดประตูออกมา หรือ ขับออกมาโดยไม่ให้สัญญาณ เราควรเว้นระยะห่างจากรถคันหน้า และ ชะลอความเร็ว
- เห็นข้างหน้าปั๊มน้ำมันที่มีตึกบัง ให้คาดการณ์ว่าอาจจะมีรถวิ่งเข้าออกเราต้องชะลอความเร็ว
เมื่อสังเกตเห็นทางแยกข้างหน้า นักขับรถเชิงป้องกันอุบัติเหตุต้องคาดการณ์ล่วงหน้าว่ารถบรรทุกอาจจะเปลี่ยนเลนมาเพื่อที่จะเลี้ยวขวา จึงต้องชะลอความเร็ว บางทีรถบรรทุก
อาจจะให้สัญญาณไฟเลี้ยวช้าไป หรือ สัญญาณไฟเลี้ยวเสียก็เป็นได้ ผู้ขับขี่จะต้องระมัดระวังให้มาก เพราะทางร่วมทางแยกเกิดอุบัติเหตุบ่อยมาก
Related link :การใช้งานรั้วไฟฟ้ากันขโมย ระบบสัญญาณกันขโมย
สอบถามข้อมูล สั่งซื้อ ขอใบเสนอราคา
HOT LINE : 081-700-4715, 02-888-3507-8, 081-721-5542