ซ่อมกล้องวงจรปิด กทม.จี้ 438 ร.ร.ในสังกัดซ่อม CCTV ให้พร้อมใช้งานก่อนเปิดเทอม
ซ่อมกล้องวงจรปิด กทม.จี้ 438 ร.ร.ในสังกัดซ่อม CCTV กล้องวงจรปิด ให้พร้อมใช้งานก่อนเปิดเทอม เพิ่มมาตรการความปลอดภัยในโรงเรียน 438 แห่งในสังกัดกทม. ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงสถานการศึกษา ทั้งอาคารเรียน ระบบสาธารณูปโภค และ กล้องวงจรปิด CCTV จี้ 50 เขตเร่งมือช่วงปิดเทอม หวังให้กล้องซีซีทีวีทั้งหมดใช้ได้ก่อนเปิดเทอมกลางเดือน พ.ค.นี้ ด้านรัฐบาลั่นเปิดทางเอกชนลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์ มูลค่ากว่า 4 หมื่นล้าน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล คาด ใช้งานในปี 59 หวังลดขอสำเนาเอกสารราชการจากประชาชน เล็งตั้งบริษัทกลางมาดูแลบรอดแบนด์แห่งชาติ
นายจรูญ มีธนาถาวร ผู้อำนวยการสำนักการศึกษา กรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยถึงการพัฒนาปรับปรุงโรงเรียนในสังกัด กทม. ทั้ง 438 แห่งในช่วงปิดเทอมตามนโยบายดูแลความปลอดภัยในสถานศึกษาว่า กทม.กำลังดำเนินโครงการปรับปรุงภายในสถานการศึกษา อาทิ ห้องน้ำ อาคารเรียน ระบบสาธารณูปโภค ซึ่งขณะนี้ กทม.ได้ปรับปรุงห้องน้ำ-ห้องส้วมนักเรียนนอกอาคาร เพื่อให้มีรูปแบบที่ทันสมัยได้มาตรฐาน และ ถูกสุขลักษณะ
โดยได้ดำเนินการแล้วเสร็จ จำนวน 123 โรงเรียน, อยู่ระหว่างดำเนินการ อาทิ ขอจัดสรรงบประมาณแก้ไขรูปแบบ ทำการปรับปรุง สำรวจกำหนดรูปแบบ และ หาตัวผู้รับจ้าง จำนวน 255 โรงเรียน, ยังไม่ได้ดำเนินการ จำนวน 40 โรงเรียน และ ไม่มีพื้นที่ก่อสร้าง จำนวน 20 โรงเรียน
นอกจากนี้สำนักการศึกษายังได้ประสานให้ผู้อำนวยการเขตทั้ง 50 เขต ร่วมกับฝ่ายการศึกษาลงพื้นที่ที่รับผิดชอบไปสำรวจตรวจสอบตามมาตรการด้านความปลอดภัย อาทิ อาคารชั้นเรียน โรงอาหาร เครื่องเล่นสนาม เนื่องจากอาคาร หรือสิ่งก่อสร้างภายในสถานศึกษาบางแห่งมีอายุการใช้งานเป็นระยะยาวนานอาจเกิดการทรุดโทรมได้
ทั้งนี้ หากพบว่ามีการชำรุดของตัวอาคารหรือสิ่งก่อสร้างใดๆ ก็ให้รีบดำเนินการแก้ไขปรับปรุงซ่อมแซมทันที ขณะเดียวกันให้ตรวจสอบการใช้งานของกล้องวงจรปิด CCTV ให้มีความพร้อมใช้งาน และ สามารถบันทึกภาพได้ทุกจุด หากไม่สามารถใช้งานได้ต้องซ่อมแซมหรือเสียก็ต้องสั่งซื้อกล้องวงจรเปิดเพิ่มเติม ซึ่งโรงเรียนทั้ง 438 แห่งในสังกัด กทม. ต้องดำเนินการให้แล้วก่อนเปิดเทอมนี้ในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม 2558
นายจรูญกล่าวอีกว่า สำหรับความปลอดภัยในด้านน้ำดื่มเพื่อใช้บริโภคนั้น ขณะนี้ กทม.กำลังเร่งรัดให้โรงเรียนในสังกัดทุกแห่งที่มีถังน้ำใต้ดินให้ ดำเนินการย้ายถังน้ำขึ้นมาไว้บนดิน เพื่อแก้ปัญหาถังน้ำปนเปื้อน ซึ่งบางแห่งถังน้ำอยู่ใกล้บ่อเกรอะ หรือบ่อพักสิ่งปฏิกูล ซึ่งขณะนี้ได้ดำเนินการแล้วเสร็จไปหลายโรงเรียน และ ได้กำชับให้ทำความสะอาดถังน้ำทุก 3-5 เดือนอีกด้วย
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ เปิดเผยว่า การจัดทำศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ (IDC) ใหม่เพื่อเป็นศูนย์เครือข่ายรวบรวมข้อมูลทุกด้านที่ทำงานอย่างต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง จากปัจจุบันที่แต่หน่วยงานทั้งภาครัฐ และ รัฐวิสาหกิจ จำนวน 112 แห่งต่างลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์กันเอง ดังนั้น จึงให้หยุดการลงทุน และ ให้รวบรวมโครงการไว้ด้วยกัน
ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 6 เดือน หลังจากนั้นจะออกแบบดาต้าเซ็นเตอร์ใหม่ และ คาดว่าจะใช้วงเงินลงทุน 30,000-40,000 ล้านบาท ซึ่งจะเปิดให้เอกชนเข้ามาร่วมลงทุน และ รัฐจะเปิดให้เอกชนมาประมูล โครงการต้องเสร็จภายใน 12 เดือน และ เปิดใช้งานให้ได้ภายใน 10 เดือนหรือภายในปี 2559
“ดาต้าเซ็นเตอร์ มีความจำเป็นมากสำหรับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลที่จะทำให้เกิดปริมาณข้อมูลมหาศาล ขณะเดียวกันภาครัฐต้องการใช้งานของภาครัฐไปกระตุ้นให้เกิดการลงทุนธุรกิจของเอกชน แต่ปัจจุบันยังมีผู้ใช้บริการไม่มาก และ แต่ละแห่งไม่ได้มีการเชื่อมต่อระบบกัน ดังนั้น ภาครัฐต้องสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดพื้นที่ขนาดใหญ่ มีหน่วยงานภาครัฐเป็นผู้ใช้รายใหญ่เพื่อกระตุ้นความต้องการโดยรวม ต่อจากนี้จะทั้งภาครัฐ และ เอกชนจะไม่มีการลงทุนซ้ำซ้อน คาดว่าภายในปีนี้ประชาชนจะเข้าใช้บริการกว่า 100 บริการโดยไม่ต้องใช้สำเนาบัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้านไปติดต่อราชการอีกแล้ว โดยเจ้าหน้าจะใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูล ซึ่งวันนี้กระทรวงมหาดไทยได้เริ่มแล้ว”
ทั้งนี้ ในปีนี้มีเป้าหมายเชื่อมโยงข้อมูลหรือฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้องระหว่างหน่วยงานราชการ นำร่อง 7 กระทรวง ได้แก่ กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตร และ สหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ และ การสื่อสาร เชื่อมโยงเข้ารับข้อมูลทะเบียนราษฎร กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย เพื่อลดการขอสำเนาเอกสารราชการจากผู้ขอรับบริการ
นอกจากนี้ ยังระบุว่ารัฐบาลต้องการให้เกิดบรอดแบนด์แห่งชาติในช่วง 2 ปีนี้ โดยในปี 59 จะต้องมีบริการบรอดแบนด์ครอบคลุมทุกจังหวัด และ ในปี 60 จะสามารถใช้ได้ทุกตำบล โดยจะเชิญชวนทั้งภาครัฐ และ เอกชนที่เป็นเจ้าของไฟเบอร์ออพติกนำมารวมกัน
เพื่อจะได้รู้ว่าปัจจุบันประเทศไทยมีเครือข่ายอย่างไร มีความยาวเท่าใดแล้ว ซึ่งต้องใช้เวลาในการรวบรวม และ ตกลงเจรจาในการนำมารวมกัน โดยเฉพาะขั้นตอนการตีมูลค่าสินทรัพย์เพื่อแลกเปลี่ยนการนำสินทรัพย์ทั้งเสา, ไฟเบอร์ออพติกที่นำมารวมกัน คาดว่าจะต้องใช้เวลาประมาณ 6 เดือน
“จากนั้นจะต้องมีการลงทุนเพิ่มเพื่อให้โครงข่ายกระจายไปทั่วประเทศ ซึ่งยังต้องรอผลประเมินก่อน โดยจะมีการจัดตั้งบริษัทกลางเข้ามาดูแลบรอดแบนด์แห่งชาติ ส่วนแหล่งเงินลงทุนเห็นว่าไม่เป็นปัญหา รัฐอาจใช้เงินกู้ หรือระดมทุนผ่านกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน ภายในปีนี้บริษัทที่เขาสมัครใจเข้ามารวมกันจะรู้ว่ามีสายไฟเบอร์ออพติกกี่สาย กี่กิโลเมตรแล้วจะมาคำนวณว่าจะต้องลงทุนเพิ่มอีกเท่าไร”
นายพรชัย รุจิประภา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ และ การสื่อสาร หรือ ไอซีที กล่าวว่า รัฐบาลนี้มองเห็นอนาคต และ ต้องการนำประเทศไทยก้าวสู่สังคมที่มั่นคง และ แข่งขันกับประเทศอื่นๆในระดับเวทีโลก ดังนั้น การลงทุนด้วยการเปลี่ยนแปลงทุกด้านจำเป็นต้องเกิดขึ้น ภาคราชการต้องร่วมมือกันพัฒนาภาครัฐในภาพรวมให้ก้าวไปสู่การเป็น Digital Government ด้วย โดยรัฐบาลได้มอบหมายสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์(องค์กรมหาชน) เป็นองค์กรหลักในการขับเคลื่อนในด้านนี้
Related link :กันขโมย ให้ทันอันตายเกิดทันที หากคุณไม่ล็อครถ